“ธุรกิจเทคสตาร์ทอัพ” หรือ “Tech Startup” ยังคงเป็นธุรกิจหอมหวนที่นำพาคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดตลอดเวลา เพราะคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าสตาร์ทอัพเป็นธุรกิจที่แจ้งเกิดง่าย เพียงมีไอเดียแหวกแนว และจับเทคโนโลยีใส่เข้าไปให้ตอบโจทย์ความต้องการ แค่นี้ก็ลุยตลาดได้แล้ว แต่ภาพแห่งความเป็นจริงของโลกธุรกิจไม่ได้โรยด้วยกุหลาบเสมอไป เพราะกว่าที่สตาร์ทอัพรายหนึ่งจะพบกับ “ความสำเร็จ” ล้วนต้องผ่าน “การล้มเหลว” มานับครั้งไม่ถ้วน
เช่นเดียวกับ Seekster หนึ่งในสตาร์ทอัพสายพันธุ์ไทยที่ผ่าน “ความผิดพลาด” มาหลายครั้ง แต่ความไม่กลัวที่จะผิดพลาดและกล้าถามเพื่อให้ได้สิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่สุด ทำให้วันนี้ Seekster กลายเป็นแพลตฟอร์มด้านบริการทำความสะอาดและซ่อมแซมชั้นนำของเมืองไทยที่ครองใจผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก หรือ SMEs กว่า 1,400ราย มาฟังเบื้องหลังบทเรียนจากความผิดพลาดในอดีตที่ทำให้ Seekster ปรับตัวรับมือกับปัญหาต่าง ๆ จนแข็งแกร่ง จากปากของ “ชัชนาท จรัญวัฒนากิจ” หรือ “โจแซ่ด” (JoeZ)CMO และผู้ร่วมก่อตั้ง Seekster
เปลี่ยน “ปัญหา” สู่ “ธุรกิจ”
ด้วย Passion ที่อยากมีกิจการเป็นของตัวเอง ทำให้หลังเรียนจบด้านวิศวะ จุฬาฯ เมื่อ5ที่แล้ว “โจแซ่ด” จึงเริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานที่ Hubba อยู่ 6เดือน และตัดสินใจกระโจนสู่วงการสตาร์ทอัพทันที เพราะเชื่อว่านี่คือ “หนทาง” ที่จะสร้างอิมแพ็คกับผู้คนนับล้านได้อย่างรวดเร็ว เมื่อประกอบกับ ซาฮิบ อนันต์ทรงวิทย์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Seekster เพิ่งเข้ามารับช่วงกิจการโรงแรมของครอบครัว ติดต่อมาเพื่อปรึกษาปัญหาการหาช่างซ่อมแอร์ให้โรงแรมไม่ได้ จนเขาต้องค้นหาช่างรายอื่นผ่านช่องทางต่าง ๆ จึงคิดว่าทำไมเมืองไทยไม่มี Service Platform ลักษณะนี้บ้าง ทั้ง ๆ ที่อยู่ในยุคเทคโนโลยีล้ำสมัย
เมื่อได้รับฟังปัญหาพร้อมกับเห็นช่องว่างของตลาดที่มีความต้องการอีกมาก ทำให้โจแซ่ดมั่นใจและไม่รอช้า ร่วมกับซาฮิบและแดเนียล ก่อร่างสร้าง Seekster ทันที โดยวางจุดยืนให้เป็นแพลตฟอร์มที่มีครบทุกบริการ ตั้งแต่การซ่อม ปรับปรุง และทำความสะอาด ไปจนถึงล้างรถ เสริมสวย และติวเตอร์ โดยช่วงแรกยังใช้ระบบกึ่งแมนนวลโดยให้ผู้บริโภคส่งใบขอรับบริการที่ตัวเองต้องการผ่านเว็บไซต์ จากนั้น Seekster จะโทรติดต่อหาช่าง เมื่อช่างรับงาน Seekster จะส่งคำตอบรับกลับไปให้ลูกค้า
เรียนรู้-ปรับตัว จาก “ความผิดพลาด”
ทว่าด้วยบริการที่หลากหลายมากเกินไป ส่งผลให้หลายฟีเจอร์ไม่มีคนใช้บริการ นั่นเป็นความผิดพลาดแรกที่เกิดขึ้น เขาและทีมจึงต้องกลับมาทบทวนจุดยืนพร้อมปรับเปลี่ยนรูปแบบโปรดักต์ใหม่ให้ตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น โดยหันมาโฟกัสที่บริการทำความสะอาดและงานซ่อมแซม ทั้งการซ่อมแอร์ ล้างแอร์ ท่อตัน และแม่บ้านทำความสะอาด เพราะเป็นตลาดใหญ่และลูกค้านิยมมากสุด
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนจุดยืนและโปรดักต์ใหม่ ทำให้ Seekster เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากช่วงแรกที่มีปริมาณงานไม่กี่สิบงานต่อเดือน เป็นหลายร้อยงานต่อเดือน กระทั่งระบบเดิมไม่สามารถรองรับการให้บริการได้เร็วพอ จึงต้องปรับระบบใหม่มาเป็นแบบ Crowd Sourcing ซึ่งสามารถจับคู่กับผู้ให้บริการได้ทันที เมื่อผู้บริโภคเข้ามาโพสต์บริการที่ต้องการในเว็บไซต์ จากนั้นเมื่อผู้ให้บริการเห็นและต้องการรับงานจะเป็นผู้ติดต่อกลับไป จนทุกวันนี้ระบบสามารถจับคู่กับผู้ให้บริการได้รวดเร็วภายในไม่เกิน 5นาที ทำให้ลูกค้าพึงพอใจอย่างมากและกลับมาใช้บริการเป็นประจำ ทั้งยังช่วยเพิ่มรายได้ให้แม่บ้านได้มากขึ้นด้วย จากที่มีรายได้ 12,000-14,000บาทต่อเดือน เป็น 17.000-18.000บาทต่อเดือน และบางรายสูงถึง 25,000บาทต่อเดือน
3 ปัจจัยขับเคลื่อนสู่การเติบโต
สิ่งที่ขับเคลื่อน Seekster ให้เติบโตรวดเร็วเช่นนี้ โจแซ่ด บอกว่า เกิดมาจาก 3ปัจจัย อย่างแรกคือ บริการที่มีคุณภาพ เพราะที่ผ่านมาปัญหาสำคัญของการให้บริการลักษณะนี้คือ คุณภาพและความน่าเชื่อถือ เพราะจริง ๆ แล้ว ช่างและแม่บ้านมีอยู่มากมาย แต่คุณภาพไม่ได้ บางครั้งช่างก็ทิ้งงาน Seekster จึงปิดช่องว่างตรงนี้ด้วยการเข้มงวดกับคุณภาพช่างและแม่บ้านมาก
เริ่มตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกผู้ให้บริการที่เข้ามาอยู่บนระบบ โดยมีการสืบประวัติและจัดอบรมจากมืออาชีพ รวมถึงมีระบบให้คะแนนจากลูกค้าหลังได้รับบริการ หากแม่บ้านคนไหนคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ จะตักเตือน หากยังได้รับการประเมินต่ำกว่าเกณฑ์จะคัดออกจากระบบ ส่วนการซ่อมหากมีปัญหา จะส่งช่างกลับไปแก้ไขทันที ทำให้บริการของ Seekster แตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่นในตลาด จนสร้างความไว้วางใจและทำให้ผู้ใช้บริการเลือกใช้ Seekster มาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ
โจแซ่ด บอกว่า เทคโนโลยี ก็มีส่วนสำคัญอย่างมากเช่นกัน เพราะนอกจากจะช่วยให้การทำงานสะดวกง่ายดายและแม่นยำแล้ว หากเทคโนโลยีออกแบบมาดีและตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าตรงจุด จะช่วยติดสปีดการเติบโตในอัตราเร่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ทีเดียว และอย่างสุดท้ายคือ การไม่กลัวผิดพลาดและเรียนรู้ความผิดพลาดให้เร็ว โดยสิ่งสำคัญของการล้มเหลวอยู่ที่“การเรียนรู้”ทุกครั้งที่ผิดพลาด Seekster จะนำกลับมาเป็นบทเรียนและแก้ไขให้เร็วเสมอ รวมถึงกล้าถามผู้รู้และฟังเสียงลูกค้า เพราะลูกค้าสำคัญที่สุด เพื่อปรับปรุงตัวเองให้ดียิ่งขึ้นตลอดเวลา โจแซ่ด ย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากความผิดพลาด
“การทำธุรกิจสตาร์ทอัพไม่มีอะไรยาก ที่ยากเพราะเราไม่รู้ ไม่ถามเพื่อหาคำตอบ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEsเพราะถึงจุดหนึ่งมีทิฐิ ไม่กล้าถาม กลัวเสียฟอร์ม แต่เราถามแบบไม่อาย แม้จะผ่านมา 3-4ปี เราก็รู้สึกว่ามีอีกหลายสิ่งที่ยังไม่รู้ และต้องหมั่นเติมความรู้ใหม่ ๆ ตลอดเวลา”
ก้าวต่อไปของ Seekster
ปัจจุบัน Seekster เปิดให้บริการในตลาดมาเกือบ 4ปีแล้ว มีแม่บ้านให้บริการกว่า10,000คน และช่างอีกกว่า 10เจ้า มีผู้ใช้บริการกว่า150,000คน แบ่งเป็นลูกค้ากลุ่มคอนโดและบ้านเดี่ยว 60%และอีก 40%เป็นกลุ่มนิติบุคคลและเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้งานเป็นประจำ และสร้างรายได้หลักให้กับ Seekster อีกด้วย โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 60-70%ทีเดียว
วันนี้ Seekster จึงนับว่าก้าวมาไกลอย่างมาก แต่สำหรับโจแซ่ดแล้วดูเหมือนว่า นี่เป็นเพียงบันไดก้าวแรกเท่านั้น และยังมีหลายสิ่งที่ต้องทำต่อให้สำเร็จ
โจแซ่ด บอกว่า กลุ่ม SMEs ในประเทศไทยมีอยู่จำนวนมาก และปัจจุบันมีผู้ประกอบการ SMEs 1,400รายเท่านั้นที่เข้ามาใช้บริการของ Seekster ขณะเดียวกันแนวคิดของผู้ประกอบการ SMEs ยุคใหม่เปลี่ยนไป หันมาใช้บริการแม่บ้านฟรีแลนซ์มากขึ้น เพราะแม่บ้านทำความสะอาดเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน จึงประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้นเมื่อเทียบกับการจ้างแม่บ้านประจำ รวมถึงลูกค้ากลุ่มนี้ยังสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ ต่างจากลูกค้าคอนโดที่อาจจะใช้บริการเดือนละครั้งเท่านั้น ทำให้เขาเห็นโอกาสเติบโตในตลาดนี้ และต้องการขยายฐานสู่กลุ่ม SMEs มากขึ้น โดยการรุกตลาดจะงัดเอาจุดเด่นในเรื่อง “คุณภาพ” การบริการที่แตกต่าง และ “ราคาที่คุ้มค่า” มาเป็นตัวนำ โดยจะมีแพคเกจให้ลูกค้าเลือกหลากหลายตรงกับการใช้งานมากที่สุด
ขณะเดียวกัน อีกสิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือ การขยับตัวเองมาเป็นผู้ให้บริการระบบบริหารจัดการงานในชื่อ Workforce เพื่อที่จะนำระบบบริหารจัดการงานส่งต่อไปให้ธุรกิจอื่นได้ใช้บ้าง เพราะเขาเชื่อว่าวิธีนี้จะสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น ที่สำคัญยังช่วยต่อยอดให้ภาพของ Seekster เติบใหญ่ขึ้นกว่าเดิมด้วย
“Workforce เป็นระบบบริหารจัดการทีมงานที่เราใช้บริหารคนตั้งแต่วันแรก เราจึงเห็นโอกาสที่จะนำมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยให้บริการกับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการระบบในการบริหารจัดการทีมงาน โดยธุรกิจไม่ต้องจ้างโปรแกรมเมอร์มาพัฒนาระบบเอง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก แถมได้ประสิทธิภาพในการบริหารงานมากขึ้น”
โจแซ่ด บอกด้วยว่า Workforce เป็นระบบที่เหมาะสำหรับงานบริการทุกประเภทที่ต้องมีการ Interact และใช้ระบบในการหาคน เช่น ติดตั้ง CCTV, ติดตั้งปั๊มน้ำ และสมาร์ทฟาร์ม รวมถึงการส่งคนไปดูแลสุนัข และผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งเบื้องต้นจะโฟกัสทีละตลาด โดยเลือกลูกค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่เป็นกลุ่มแรกในการทำตลาด พร้อมพัฒนา Subscription Model มาใช้กับธุรกิจนี้ด้วย โดยได้เริ่มทดลองให้บริการมาประมาณ 3เดือนแล้ว ได้รับผลตอบรับดีมาก ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 10 รายแล้ว
"ที่ผ่านมารายได้ Seekster เติบโตขึ้นก็จริง แต่เมื่อหักต้นทุนคนและทุกอย่างแล้ว กำไรแค่ 20%ขณะที่ Workforceต้นทุนหลักอยู่ที่การเป็นที่ปรึกษา เราจึงเติบโตได้เร็วกว่า และสามารถจะเข้าไปเทรดในตลาดได้เร็วขึ้นด้วย โดยตั้งเป้าภายใน 8ปีนี้จะได้เห็นแน่นอน เพราะหากดูจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีอีกมากและเริ่มส่งต่อธุรกิจสู่รุ่นสอง ซึ่งรุ่นนี้ส่วนมากเข้าใจเทคโนโลยี โดยปีหน้าจะเริ่มขยายฐานสู่ตลาดกลุ่มนี้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ฝันของเขา และ Seekster เข้าใกล้ความจริงยิ่งขึ้นเช่นกัน”
จากนี้ไปเขาและทีมยังต้องลุยต่อเพื่อไปถึงฝันที่วางไว้ โดยโจแซ่ด ยอมรับว่า Seekster จะก้าวมาถึงวันนี้ไม่ได้เลย หาก 4 ปีที่แล้วไม่มี “ปัญหา” และมีเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการได้พาร์ทเนอร์ธุรกิจอย่าง dtac SME มาช่วยจัดการต้นทุนในการติดต่อสื่อสาร ด้วยการนำร่องซิม WorryFree มาใช้กับพนักงานในองค์กร ซึ่งเป็นซิมที่คิดมาจากInsight คนทำธุรกิจโดยเฉพาะเพื่อลดทุกข้อกังวลใจของผู้ประกอบการที่มีอยู่ ซึ่งหลังจากใช้เพียงไม่กี่เดือนพบว่า ช่วยองค์กรลดต้นทุนด้านการสื่อสารได้อย่างมาก จึงมีแผนต่อยอดนำซิมดังกล่าวไปให้แม่บ้านระดับ Top Tier ใช้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยรักษาแม่บ้านให้คงอยู่กับบริษัทได้ยาวนาน ต่อให้มีคู่แข่ง เขาก็ไม่ไปไหน
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเบื้องหลังความล้มเหลวที่สร้างการเติบใหญ่ให้กับสตาร์ทอัพสายพันธุ์ไทยอย่างSeekster ซึ่งหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่กลัวความผิดพลาด และพร้อมล้มเหลวเพื่อเรียนรู้สิ่งที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม คุณกำลังเดินมาถูกทางแล้ว จงก้าวต่อไป ความสำเร็จบนเส้นทางสตาร์ทอัพอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน
หากคุณเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs และต้องการลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ dtac SME โทร.088-188-1678 หรือ www.dtac.co.th/smeเพื่อนำเสนอแพกเกจที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณได้อย่างตรงใจ
ขอบคุณที่มาจาก : https://www.brandbuffet.in.th