Hybrid Working Mode คืออะไร ทำไมต้องทำงานแบบไฮบริด?
การทำงานรูปแบบไฮบริด เป็นรูปแบบการทำงานออฟฟิศ ที่องค์กรอนุญาตให้พนักงานเข้าทำงานที่ออฟฟิศ สลับกับทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) หรือสามารถทำงานจากที่อื่นที่ไม่ใช่ที่บ้านได้ (Remote Working) มีข้อดีทั้งความสะดวกในการเดินทาง ลดความแออัดในออฟฟิศ มีความยืดหยุ่นในองค์กร และที่สำคัญคือ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสระหว่างพนักงาน จนหลายๆ บริษัทนำมาปรับใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ที่โควิด-19 ฝีดาษลิง และไข้หวัดใหญ่กำลังระบาดหนัก
- อยากก้าวต้องกล้าเปลี่ยน! 3 สิ่งที่ต้องมี ถ้าองค์กรจะปรับโหมดเป็น Hybrid Working
- “แม่บ้านสำนักงานรายปี” ยืนหนึ่งเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่ายในองค์กร
ตัวอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ปรับตัวมาใช้รูปแบบ Hybrid Working
- Microsoft อนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน 50% โดยหากหัวหน้างานยินยอม ก็สามารถขอเพิ่มเลเวลเป็น Work From Home 100% ได้ เพิ่มทั้งความสุข และประสิทธิภาพงาน
- Amazon มีการปรับใช้ Hybrid Working กับบางทีม โดยพนักงานต้องเข้าออฟฟิศอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ และปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ตามดุลยพินิจของหัวหน้าทีม
- Google ใช้โมเดล 3/2 คือ อนุญาตให้พนักงานเข้าทำงานที่ออฟฟิศเพียง 3 วันเท่านั้น โดย 2 วันที่เหลือพนักงานจะทำงานจากที่ไหนก็ได้ใน 1 สัปดาห์
- Twitter ถือว่าเป็นอีกหนึ่งออฟฟิศที่น่าอิจฉา เพราะทางบริษัทอนุญาตให้พนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ 100%
4 ข้อดี ของการปรับการทำงานเป็นโหมด Hybrid Working
1.ลดความเสี่ยงในการทำงานให้กับพนักงาน
Hybrid Working เป็นวิธีที่เห็นได้ชัดว่าสามารถลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสในที่ทำงานได้ เนื่องจากลดความแออัดในออฟฟิศได้ดีมาก เพราะพนักงานสามารถแยกตัวไปทำงานจากที่บ้าน หรือจากที่อื่นที่ไม่เสี่ยงในการระบาดได้ นอกจากลดอาการเจ็บป่วยจากเชื้อไวรัสแล้ว ยังลดความเครียดของพนักงานที่อาจส่งผลตามมาทีหลังได้ด้วย
2.ประสิทธิภาพในการงานเพิ่มขึ้น
Hybrid Working ไม่จำเป็นต้องเข้าทำงานที่ออฟฟิศ จึงลดปัญหาการขาด ลา มาสาย ของพนักงานได้ดี เพราะเป็นการให้พนักงานจัดการเวลาด้วยตัวเอง เช่น ประชุม วางแผนงาน อัพเดทความคืบหน้า และกำหนดวันส่งงานให้ชัดเจน โดยการใช้ Digital Tools ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพอย่างตรงจุด เช่น Google Office, Microsoft Team, Zoom, Line, Slack, Discord, และ Dropbox เป็นต้น แถมยังสามารถเก็บ Feedback มาประเมินงานได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
3.พนักงานมีความสุข
Hybrid Working กลายเป็นขวัญใจพนักงานบริษัท เพราะเห็นได้ชัดว่าสร้างความยืดหยุ่นให้พนักงานพอสมควร ลดความเครียดเรื่องการเดินทางไปออฟฟิศ รวมถึงปัจจัยแปรปรวนต่างๆ ที่ทำให้เข้าออฟฟิศสาย เช่น ฝนตก รถติด น้ำท่วม รถติด และรถสาธารณะขัดข้อง เป็นต้น จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Hybrid Mode จึงทำให้พนักงานมีความสุข ผลิตเนื้องานออกมาอย่างสร้างสรรค์และมีคุณภาพ ส่งผลให้องค์กรเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปข้างหน้าได้แบบรวดเร็ว และยั่งยืน
4.ลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กรได้เท่าตัว
การปรับรูปแบบเป็น Hybrid Working ช่วยลดค่าใช้จ่ายหลักๆ ขององค์กรได้เป็นอย่างดี เช่น ค่าเช่าสถานที่ ค่าเดินทางของพนักงาน ค่าน้ำค่าไฟ รวมไปถึงที่ไม่ควรมองข้ามคือ ค่าทำความสะอาด เพราะถึงแม้องค์กรจะไม่ได้ให้พนักงานเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศบ่อยขนาดนั้น แต่ก็ยังต้องมีออฟฟิศสำนักงานเป็นจุดรวมพลในการประชุม พูดคุย พบปะ และอัพเดทงานหลักๆ กันอยู่ ซึ่งออฟฟิศเองก็ยังคงต้องการสุขอนามัยที่ดี
การเลือกแม่บ้านสำนักงาน แม่บ้านทำความสะอาดออฟฟิศที่มืออาชีพ ฝีมือคุณภาพ จากบริษัทจัดหาแม่บ้านชั้นนำจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาไม่น้อยกว่าเรื่องอื่น
แม่บ้านออฟฟิศ แม่บ้านสำนักงาน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น เพราะสำนักงานควรมีคนคอยดูแลทำความสะอาดออฟฟิศให้สะอาดอยู่เสมอ แม้ว่าจะไม่ค่อยมีพนักงานเข้าไปใช้ก็ตาม ซึ่งอาจจะเป็นแม่บ้านสำนักงานรายเดือน หรือรายปี ที่ทำความสะอาดสำนักเป็นประจำ จัดหาโดยบริษัทจัดหาแม่บ้านสำนักงานชั้นนำ ซึ่งช่วยได้มากในเรื่องความสะอาดของออฟฟิศ มากกว่านั้นคือประหยัดค่าใช้จ่ายได้พอสมควร องค์กรเองก็ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องสวัสดิการแม่บ้าน ประกัน และแม่บ้านลา ป่าย ขาด รวมไปถึงเหตุไม่คาดคิด ต่างๆ
ทั้งนี้ Seekster มีบริการแม่บ้านสำนักงาน แม่บ้านออฟฟิศ แม่บ้านโรงแรม แม่บ้านโฮสเทลบริการในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ที่สะดวก และช่วยประหยัดทั้งเวลาดำเนินการ และค่าใช้จ่ายที่ไม่พึงประสงค์ ในองค์กร ตอบโจทย์การทำงานทุกรูปแบบ เพราะเมื่อสถานที่ทำงานสะอาด ผลลัพธ์การทำงานย่อมออกมามีประสิทธิภาพแน่นอน
ผู้ประกอบการและองค์กรที่กำลังมองหาแม่บ้านสำนักงาน แม่บ้านออฟฟิศ มาช่วยดูแลความสะอาดภายในสำนักงาน และทำความสะอาดออฟฟิศ สามารถลงทะเบียนและรับข้อเสนอสุดพิเศษได้ที่: https://join.seekster.co/2022/maidforbusiness